วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง โดย สายฝน เม่าทอง(เทคโนโลยีชาวบ้าน)

จำเนียร กาญจนพรหม เกษตรกรเมืองตรัง อยู่อย่างพอกิน-พอใช้ จนได้รางวัลดีเด่นระดับภาค





ขอเอามาเป็นแบบอย่างครับ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ (ฉบับนี้ก็ซื้อไว้ ติดตามแทบทุกฉบับครับ)

จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2540 ที่พระราชทานให้กับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศให้ใช้ชีวิตอย่างพอมี พอกิน พอใช้ ไม่ฟุ้งเฟ้อ เพื่อให้ชาวไทยทั้งชาติสามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปได้ ปัจจุบัน แม้ว่าเศรษฐกิจของไทยจะดีขึ้นบ้างตามลำดับก็ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจะถูกมองข้าม หรือยุติลงแค่นั้น ทว่ากลับได้รับการยอมรับในการนำมาเป็นกรอบแนวคิดเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

และเพื่อให้เป็นไปตามแนวพระราชดำริ เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จึงได้ร่วมมือกันจัดทำ "โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน" ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และการทำการเกษตรแบบผสมผสาน การส่งเสริมให้เกษตรกรได้ใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (Effective Microorgaism หรือ EM) แทนการใช้สารเคมี ทั้งในด้านการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์น้ำ การปศุสัตว์และสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการปลอดสารพิษเป็นหลัก และตลอด 2 ปี ที่ผ่านมาได้มีเกษตรกรทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือ คุณจำเนียร กาญจนพรหม อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 107 /1 หมู่ 12 ตำบลนาท่ามเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง 92190 ที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต จนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับภาคใต้ของโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในที่สุด

คุณจำเนียร ได้เล่าให้ฟังถึงชีวิตของตนเองก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการชีววิถีฯ ว่า เดิมมีอาชีพทำสวนยางพารา ปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ สุกร และไก่ ควบคู่ไปด้วย ส่วนสามีก็รับราชการ รายได้ก็พอมีพอใช้จ่ายภายในครอบครัว หลังจากที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้เข้ามาส่งเสริมและให้ความรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็ชักชวนเพื่อนบ้านไปดูว่าเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร พอเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่มากและตัวเองมีพื้นที่อยู่ประมาณ 1 ไร่ ก็คิดว่าน่าจะเลี้ยงปลาในบ่อพลาสติก และปลูกผักรอบๆ บ่อปลา เหมือนที่เจ้าหน้าที่มาแนะนำ ดังนั้น เมื่อเห็นตัวอย่างแล้วก็ลองทำดู

ในช่วงเดือนเมษายน ปี 2548 ด้วยการขุดบ่อปลา กว้างxยาวxลึก เท่ากับ 2x4x1 เมตร และรอบๆ บ่อปลาก็ปลูกผักสวนครัวที่ดูแลได้ง่าย เช่น ผักกูด ไว้โดยรอบ พื้นที่บริเวณบ้านก็ปลูกผักสวนครัว เช่น พริก มะเขือ ตะไคร้ ฟัก และอื่นๆ อีกมากมาย เวลาจะกินจะใช้ภายในครัวเรือนก็ไม่ต้องไปซื้อที่ไหน

คุณจำเนียร กล่าวว่า ตนเองได้นำแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้กับการเกษตรใน 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ การเพาะปลูก การปศุสัตว์ การประมง และสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้จะเน้นเรื่องความปลอดภัย ปลอดสารพิษ สารเคมีเป็นหลัก คือ จะใช้วิธีการทางชีวภาพทั้งสิ้น ตอนแรกคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่พอลองทำจริงๆ ก็ปรากฏว่าการใช้พวกจุลินทรีย์ต่างๆ สามารถใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน เริ่มตั้งแต่การเพาะปลูกเมื่อใช้พวก EM นอกจากจะปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ใช้แล้ว ยังทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ในด้านการปศุสัตว์ ก็ช่วยบำบัดกลิ่นในคอกสุกร การทำความสะอาดคอกสุกร เป็นการป้องกันเชื้อโรคที่เกิดขึ้นกับสัตว์ไปในตัว ด้านการประมงก็นำ EM มาใช้ได้ในบ่อปลา คือลดปัญหาน้ำเน่าเสีย และด้านสิ่งแวดล้อม ยังช่วยดับกลิ่นในห้องน้ำ บำบัดน้ำเสียบริเวณบ้าน และยังช่วยแปรสภาพเศษอาหารในครัวเรือนให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงดินสำหรับต้นพืชได้

เริ่มต้นคุณจำเนียรเลี้ยงปลาจำนวน 2 บ่อ เท่านั้น แต่เมื่อเห็นว่าให้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจจึงขยายบ่อปลา จนถึงขณะนี้คุณจำเนียรมีบ่อปลาทั้งหมด 8 บ่อแล้ว เป็นปลาดุก 5 บ่อ ปลาหมอ 1 บ่อ ปลานิล 1 บ่อ และกบอีก 1 บ่อ เจ้าตัวได้เล่าให้ฟังถึงขั้นตอนในการเลี้ยงปลาว่า หลังจากเตรียมบ่อเรียบร้อยแล้ว ก็ปล่อยน้ำลงบ่อทิ้งไว้ประมาณ 3 วัน แล้วให้ใส่จุลินทรีย์ลงไปด้วยเพื่อปรับสภาพน้ำให้มีสีเขียว คือให้มีอาหารสำหรับปลานั่นเอง จากนั้นก็ใส่พวกผักบุ้ง ผักกระเฉด ลงไปในบ่อ และสังเกตว่าผักเหล่านี้เริ่มเจริญเติบโตได้ดี ก็แสดงว่าสภาพน้ำเริ่มใช้ได้แล้ว ให้นำพันธุ์ปลาไปปล่อยได้ ใช้เวลาประมาณ 3 เดือนครึ่งปลาก็เริ่มโตแล้ว สำหรับต้นทุนของอาหารปลาทั้งหมด 3 เดือน ก็อยู่ที่ประมาณ 1,300 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะผลผลิตที่ได้เมื่อเหลือจากการบริโภคในครัวเรือนก็นำไปจำหน่าย ถึงตอนนี้ก็สร้างรายได้เสริมถึงจุดคุ้มทุนแล้ว

"สิ่งสำคัญจากการเลี้ยงปลา ปลูกผัก ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้อยู่ที่รายได้จากการขายผลผลิต เราไม่ได้วัดความสำเร็จจากเรื่องนี้ แต่อยู่ที่ความปลอดภัยของครอบครัวที่มั่นใจได้ว่าอาหารทุกชนิดที่ลูกๆ หรือสามีรับประทานนั้นไม่มีสารพิษตกค้างแน่นอน เพราะเราปลูกผัก เลี้ยงปลามาเองกับมือ ทุกวันนี้เรารู้สึกไม่มั่นใจความปลอดภัยจากผักที่วางขายในท้องตลาด

ดังนั้น ปลูกกินเองดีกว่า สบายใจกว่าเยอะ และยังเป็นการลดรายจ่ายภายในบ้านด้วย ทุกวันนี้ไปตลาดก็แทบจะไม่ต้องซื้ออะไรมาก เพราะทุกอย่างก็มีอยู่ในแปลงผักข้างบ้านของเราแล้ว สำหรับผัก และปลาที่ขายได้ถือเป็นผลพลอยได้จากความพยายามของเรา ตอนนี้ก็มีคนมาซื้อถึงบ้าน เขาได้ยินแล้วบอกต่อๆ กันมา อย่างกบขายได้ราคาดีกิโลกรัมละ 65 บาท เลยคิดว่าจะขยายบ่อกบเลี้ยงอีกประมาณ 1,000 ตัว ไม่ต้องมาก 5-6 เดือน ก็โตเต็มที่แล้ว" คุณจำเนียร กล่าว

เมื่อเดินสำรวจบริเวณแปลงผักสวนครัวของคุณจำเนียรและครอบครัวก็จะเห็นว่าเจริญเติบโตได้ดี สภาพดินก็ไม่แห้ง เจ้าตัวบอกว่า ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยหมักที่ทำใช้กันเองภายในครอบครัว และที่สำคัญสามารถนำน้ำจากบ่อปลามารดผักได้ ถือเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทำกันมานานแล้ว และยังใช้ได้ดีอยู่ไม่ต้องไปจ่ายเงินซื้อปุ๋ยอีก และจากที่ทำมาทั้งหมด การเพาะปลูกจะให้ผลตอบแทนในเรื่องของรายได้มากที่สุด เพราะไม่ต้องลงทุนอะไร เมล็ดพันธุ์ ต้นพันธุ์ต่างๆ เจ้าหน้าที่ก็ให้มา หลังจากนั้นก็มาขยายพันธุ์ต่อเอง ถ้าเราตั้งใจจริงมีเวลาให้กับมันก็มีแต่ได้กับได้ ไม่มีอะไรต้องเสีย และยิ่งในช่วงหน้าแล้งผักจะขายได้ราคาดี เพราะของเราจะงามกว่าที่อื่นช่วงนั้นบวบขายได้หลายร้อยบาทเลยทีเดียว และเมื่อลองคำนวณถึงรายได้จากการขายของที่ปลูกเอง เลี้ยงเองเดือนหนึ่งประมาณ 400-500 บาท คุ้มค่ามาก ดีกว่าปล่อยพื้นที่ทิ้งไว้โดยเปล่าประโยชน์

และไม่ใช่แค่แปลงผักเท่านั้น เมื่อลองเดินไปสุดทางข้างหลังบ้านของคุณจำเนียรก็จะเห็นต้นยางพาราเรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมด้วยโรงเรือนสำหรับเพาะเห็ด โรงเรือนไก่ และคอกสุกรอยู่ระหว่างแถวยางพารา ซึ่งจัดการพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก

คุณจำเนียร บอกว่า เริ่มแรกก็เลี้ยงสัตว์ในสวนยางพาราก่อน รายได้ก็พอจุนเจือครอบครัวแล้ว แต่พอมาเลี้ยงปลา ปลูกผักแบบพอเพียงก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองมากขึ้น เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ยางพาราจะราคาตกหรือไม่เราก็อยู่ได้ อย่างน้อยก็มีข้าวปลาอาหารพร้อมแล้ว ไม่ต้องไปกังวลว่าวันนี้จะหาอะไรให้ลูกกิน

"จำเป็นต้องตื่นแต่เช้ามืด เพราะต้องลุกขึ้นมากรีดยาง หลังจากนั้นก็เริ่มทำความสะอาดคอกหมู ให้อาหารไก่ ให้อาหารปลา และดูแลความเรียบร้อยของแปลงผัก ใช้เวลาครึ่งวัน แล้วช่วงบ่ายๆ ก็หาอะไรทำเรื่อยๆ จะเห็นว่ามีงานอะไรให้ทำมากมายในแปลงผักถ้าเราคิดจะทำ หลายคนบอกว่าเหนื่อยทำไมต้องทำอะไรให้มันวุ่นวายขนาดนี้ เพื่อนผู้หญิงข้างบ้านเขาก็ไม่ทำกัน แค่กรีดยางก็หนักหนาแล้ว พอเริ่มทำแรกๆ ก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่พอเข้าที่เข้าทางแล้วก็เริ่มรู้สึกสนุกกับงาน ยิ่งผักขึ้นงามเท่าไหร่ เราก็มีความสุขตามไปด้วย การอยู่กับแปลงผักเขียวๆ ทุกวัน มันก็ทำให้เราใจเย็นขึ้นมาก" คุณจำเนียร กล่าว

อย่างไรก็ตาม คุณจำเนียร ได้ให้ข้อแนะนำสำหรับแม่บ้านทุกคนที่คิดจะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในครอบครัวด้วยการทำการเกษตรแบบยั่งยืนว่า ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุน หรือใช้พื้นที่มากมาย แต่ให้ศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้เข้าใจก่อน อาจจะหาความรู้จากหนังสือ นิตยสารต่างๆ หรือสอบถามจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ สิ่งสำคัญคือ การยอมรับการเปลี่ยนแปลง ยอมรับเอาเทคโนโลยีการเกษตรหรือความรู้อะไรใหม่ๆ มาใช้บ้าง และรู้จักนำภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้กันมานานแล้วนำมาใช้ต่อ อย่าไปคิดว่ามันเป็นงานหนักสำหรับผู้หญิง มันจะทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจที่มีส่วนช่วยให้คนในครอบครัวได้อยู่ดีกินดี ซึ่งคิดว่าแม่บ้านหลายคนทำได้ถ้าคิดที่จะทำจริงๆ ไม่ต้องรอให้พ่อบ้านเป็นคนเริ่มก่อน ไม่เช่นนั้นจะเสียโอกาส

และผลจากความพยามยาม ความตั้งใจของคุณจำเนียร ทำให้เธอได้รับรางวัลชนะเลิศระดับภาคของโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แม้ว่ารางวัลจะไม่ได้เป็นเป้าหมายในชีวิตของเธอ แต่มันก็ช่วยสร้างกำลังใจให้ผู้หญิงคนนี้ได้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ครอบครัวและสังคมต่อไป และตอนนี้ผลงานของคุณจำเนียรได้กลายเป็นจุดถ่ายทอดเทคโนโลยีของโครงการชีววิถีฯ และเป็นแหล่งความรู้ทางด้านการเกษตรแบบยั่งยืนให้กับผู้สนใจจากทั่วประเทศ สำหรับท่านใดที่สนใจเศรษฐกิจแบบพอกินพอใช้ตามแบบฉบับของคุณจำเนียรก็ติดต่อได้ตามที่อยู่ข้างต้น หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ (07) 275-4050 หรือติดต่อที่ คุณวิรัตน์ กาญจนพรหม ได้ที่ โทร. (09) 871-1160 ได้ทุกวัน

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปลูกพริกขี้หนูสวนให้ได้ผลดีไม่ค่อยมีโรคแมลงรบกวน



หลายท่านคงเคยปลูกพริกขี้หนูสวนกันแล้ว เป็นพริกบ้านเราที่รสชาติเผ็ดร้อนแต่กลิ่นหอมน่าตำน้ำพริก แต่จะพบว่ามีปัญหามากมายทั้งโรคและแมลงทำลาย ใบหงิก ใบงอ ไม่ค่อยได้เก็บกินหรือขาย ในการลองปลูกของผมก็เช่นเดียวกันทำตามคำแนะนำอย่างดีเพาะกล้าลงถุงย้ายปลูกลงดินถากหญ้าพูนโคน อย่างดีพอต้นพริกเจริญเติบโตไปใกล้จะออกดอก ก็มีอาการใบหงิกมาก่อนเลย ต่อจากนั้นพอมีดอกมีผลบ้างก็ต้องรีบกินเพราะปล่อยอีกแป้บเดียวผลเน่าแห้งกินไม่ได้ เพราะเราไม่ต้องการใช้สารเคมีในการกำจัดจึงต้องหยุดปลูกพริกไปเพราะไม่ได้ผล
มีอยู่วันหนึ่งไปนั่งกินก๊วยเตี๋ยวที่ร้านค้าในหมู่บ้าน นั่งกินไปมองเห็นต้นพริกขี้หนูงามลูกดกมาก ขึ้นอยู่ตรงบริเวณที่เขาล้างจานหลังบ้านจึงถามเจ้าของร้านว่า พี่ครับพริกนี่ปลูกไว้เหรอถึงได้งามอย่างนี้ เจ้าของร้านตอบว่าไม่ได้ปลูกหรอก ผมสาดพริกน้ำส้มที่เหลือค้างเวลาล้างขวดลงไปบนดิน ก็เกิดต้นพริกมาและไม่ได้สนใจไรมัน แต่พออยู่ไปนานๆมันโตดีมาก ทั้งๆที่ดินก็เป็นลูกรัง ผมเลยได้แนนวคิดนี้มาลองปลูกพริกแบบเขาดูบ้าง เตรียมดินใส่ปุ๋ยเสร็จหมักดินไว้เป็นเดือนตามที่เคยทำ จากนั้นก็เอาผลพริกคัดจากต้นที่คิดว่าเผ็ดหอมอร่อย มาโปรยลงไปบนดินนั้น แล้วก็ยกร่องปลูกวอเตอร์เครส ตามปกติ หลังจากนั้นพบว่ามีต้นพริกขึ้นประปรายในร่องผักก็ปล่อยมันขึ้นไป ตรงไหนเกะกะก็ถอนทิ้ง แปลกแต่จริงต้นพริกที่เราปล่อยทิ้งโดยไม่ไปอินังขังขอบไรมันกลับโตเอาๆ จนเดี๋ยวนี้เก็บขายได้ด้วย ไม่ค่อยมีโรคแมลงรบกวน ต้นไหนมีโรค มีแมลงใบหงิกงอก็ถอนทิ้งไป พริกพวกนี้บางต้นโตสูงท่วมหัว และอยู่ได้ปีหรือสองปีกว่าจะโทรม ตั้งแต่นั้นมาผมก็ใช้วิธีนี้ปลุกพริกขี้หนูแบบเกษตรธรรมชาติและแนะนำคนอื่นๆให้ลองทำตามดูพบว่ามีหลายคนที่บอกว่าได้ผลดี
แต่ในฐานนะที่เรามีความรู้เรื่องดินก็มีการปรับปรุงดินใส่ปุ๋ยขี้วัว ราดน้ำหมักที่ทำไว้ หมักดินคลุมด้วยฟาง จนเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ก่อนจะหว่านผลพริกลงไป และพบว่าต้นพริกขี้หนูสวนที่อยู่ใต้ร่มเงาใกล้กับกอกล้วยหอม ใต้ต้นมะม่วง เจริญเติบโตดีกว่าพวกที่ถูกแดดจัดๆ จึงได้ไปค้นคว้าสอบถามจากผู้ที่ปลูกพริกว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้นเขาบอกว่า พริกขี้หนูสวนจะชอบสภาพพิ้นที่เป็นสวนคือมีร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ในสวน ที่ร่มรำไรแสงแดดประมาณ 75 % จะทำให้พริกขี้หนูสวนงามดีมากออกดอกออกผลดี
แต่ขอบอกว่านี่ไม่ได้เป็นเทคนิคที่เหมาะสมกับการปลูกพริกเป็นอาชีพนะครับ เป็นเพียงการปลูกพริกเพื่อเอาไว้รับประทานเองที่เหลือก็แจกจ่ายเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง เหลือจริงๆก็ใส่ถุงละ สองขีดไปวางขายบ้าง

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ระบบเกษตรผสมผสาน



ระบบเกษตรผสมผสาน หมายถึง ระบบเกษตรที่มีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน มีการเกื้อกูลประโยชน์ซึ่งกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- อาศัยหลักการอยู่ร่วมกันระหว่างพืชกับพืช หรือพืชกับสัตว์ และสิ่งแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม
- มีการใช้ปัจจัยการผลิต ที่ดิน แรงงาน ทุน และทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- รวมถึงการหมุนเวียนนำวัสดุเหลือใช้จากการผลิตชนิดหนึ่ง มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการผลิตอีกชนิดหนึ่ง เช่น การเลี้ยงไก่บนบ่อปลา การเลี้ยงผึ้งในสวนผลไม้

แนวทางการดำเนินงานระบบเกษตรผสมผสานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
แนวทางการประหยัด(ไม่ต้องซื้อ) ตัวอย่างคือ- ปลูกเอง เช่น ปลูกข้าว ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก มะนาว โหระพา ใบแมงลัก
เป็นต้น
- ผลิตเอง เช่น ทำแชมพู สบู่ น้ำยาล้างจาน ปุ๋ยชีวภาพ ใช้เอง
เป็นต้น
"ปลูกเอง ผลิตใช้เองในครัวเรือน"
"พอกินเหลือขาย"
"มีข้าวไว้กินคือภูมิคุ้มกัน"
แนวทางจัดการดิน
"ต้นไม้จะงาม ดินต้องดี"
ต้องมีการตรวจวิเคราะห์ดินทุกปี เพื่อให้ทราบว่าขาดธาตุอาหารอะไร มีค่า PH เท่าไหร่และอินทรียวัตถุในดินมีมากหรือน้อยจะได้ปรับปรุงบำรุงดินได้ถูกต้อง
แนวทางการสร้างรายได้รายวัน
สามารถเก็บผลผลิตได้ทุกวันเช่นการปลูกพืชหมุนเวียน(สัปดาห์ละ10แปลง)การเพาะเห็ดหมุนเวียน (เดือนละ 500ก้อน)การปลูกพืชไร่หมุนเวียน(เดือนละ 1-2 ไร่)ไม้ดอกหมุนเวียน
(2สัปดาห์/แปลง)และการผลิตไม้ประดับหมุนเวียน(สัปดาห์ละ100ต้น)
แนวการสร้างรายได้รายเดือน
ปลูกพืชที่เกบผลผลิตได้เดือนละครั้งเ มะพร้าว กล้วย มะละกอ
ชมพู่ ฝรั่ง เป็นต้น
แนวการสร้างรายได้รายปี
ปลูกพืชที่เก็บผลผลิตได้ปีละครั้ง เช่น ส้มโอ มะม่วง ลำไย กะท้อน ทำนาข้าว เลี้ยงเป็ดและเลี้ยงไก่
แนวทางการปลูกพืชระยะยาวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
ปลูกพืชระยะยาวสร้างมูลค่า ไม้ป่าต่างๆเช่น สัก ยางนา พะยูง
ปลูกพืชเป็นแนวรอบพื้นที่เพื่อป้องกันลม และได้ประโยชน์จากเนื้อไม้ในอนาคต
แนวทางการตลาด
- ขายตรง
- สมัครสมาชิกโรงงาน
- การรวมกลุ่มเกษตรกร
- จัดอบรม SML OTOP และ ถ่ายทอดเทคโนโลยี
ประโยขน์จากการทำเกษตรผสมผสาน(ข้อได้เปรียบ)
- ลดความเสี่ยง ความแปรปรวน ลม ฟ้า อากาศ
- ลดความเสี่ยง ความแปรปรวน ราคาผลผลิต
- ลดความเสี่ยง ความแปรปรวน ระบาดศัตรูพืช
- เพิ่มรายได้กระจายรายได้ตลอดปี รายวัน รายเดือน รายปี
- มีความหลากหลายของพืช โดยรักษาระบบนิเวศในพื้นที่
- ช่วยการกระจายรายได้ ให้มีการจ้างแรงงานลดปัญหาการว่างงาน
- เกิดการหมุนเวียนกิจกรรมต่างๆไร่นา สามารถใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- อาหารเพียงพอบริโภคในครัวเรือน
- ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในกลุ่มเกษตรกร
ข้อจำกัดของเกษตรผสมผสาน
- เกษตรมีที่ดิน แรงงาน ทุน เหมาะสมกับการเกษตรที่เลือก
- มีความขยัน อดทน
- มีการวางแผนจัดการทรัพยากรที่เหมาะสม
- มีระบบการตลาดที่ดี
สรุป
ระบบเกษตรผสมผสานสามารถใช้เป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกร ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของเกษตรกรแต่ละราย คือต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- ต้องขยัน
- มีแรงงานครอบครัวเพียงพอ
- มีที่ดินเป็นของตัวเอง
- เกษตรกรต้องมีความพร้อมในการจัดการได้แก่ หาความรู้ ข้อมูล มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบสังเกต ช่างจดจำ และมีความตั้งใจจริงจึงจะประสบความสำเร็จ

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รวมวีดีโอ ทำน้ำหมักชีวภาพ

น้ำหมักชีวภาพ - สูตรหมักจากเศษอาหาร



**********************************************************************************

น้ำหมักชีวภาพ - ฮอร์โมน 3 สูตร



**********************************************************************************

น้ำหมักชีวภาพ - สูตรฮอร์โมน (น้ำพ่อ)




***********************************************************************************

น้ำหมักชีวภาพ - น้ำลูกยอ -
ตอนที่ 1


ตอนที่ 2




***********************************************************************************

น้ำหมักชีวภาพ - สูตรชำระล้าง




************************************************************************************

น้ำหมักชีวภาพ - สูตรทำน้ำด่าง



************************************************************************************

น้ำหมักชีวภาพ - สูตรบรรเทาอาการไอ

************************************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เกษตรปราณีต 1 ไร่

เส้นทางสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืนและมั่นคง